ศูนย์การค้าไทยใน 5 ปีข้างหน้าจะเป็นตลาดสำคัญในการลงทุนธุรกิจ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ 15 มี.ค. 2013 10:40 am
นายนริศ เชยกลิ่น นายกสมาคมศูนย์การค้าไทย (TSCA) เปิดเผยว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นตลาดที่สำคัญในการลงทุนธุรกิจรีเทลหรือศูนย์การค้า โดยคาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าว จะมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 120,000 ล้านบาท ทั้งจากกลุ่มนักลงทุนที่เป็นสมาชิกสมาคมอยู่แล้ว นักลงทุนรายใหม่ในประเทศ รวมถึงนักลงทุนจากต่างประเทศที่เริ่มเข้ามามากขึ้น
ทั้งนี้ตนในฐานะนายกสมาคม จึงต้องการยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการศูนย์การค้าไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการช็อปปิ้งของภูมิภาคอาเซียน (Regional Shopping Hub) รับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
ในโอกาสที่สมาคมครบรอบ 15 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2541 จากความร่วมมือของผู้ประกอบการศูนย์การค้าไทยหลายราย โดยในปี 2556 นี้สมาคมฯเตรียมจะจัดงาน “The 1stThailand Shopping Center Symposium” ขึ้น เพื่อขยายองค์ความรู้ธุรกิจศูนย์การค้า และเชิญชวนผู้ประกอบการรายอื่นๆ มาร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มเติม และกำหนดทิศทางธุรกิจในปี 2557
โดยในงานดังกล่าวจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเทคโนโลยี กฎหมายข้อบังคับ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตลาดในประเทศไทย และดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมสนองต่อการเปิดตลาดใน AEC ด้วย ซึ่งจะมีการแบ่งประเภทของศูนย์การค้าอย่างชัดเจน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ทำให้การพัฒนาและบริหารงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นายนริศกล่าวว่า จากฐานข้อมูลสมาชิกของสมาคม พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์การค้าที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้วจำนวนทั้งสิ้น (นับเฉพาะข้อมูลของสมาชิกสมาคมเท่านั้น) 74 แห่ง คิดเป็น 1 แห่งต่อประชากร 9 แสนคน ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วน 1 แห่งต่อประชากร 43,000 คน (ข้อมูลปี 2554)จะเห็นได้ว่าตลาดในประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม สมาคมได้ขอให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนในเรื่องโครงการพลังงานแก่ผู้ประกอบการศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันวิกฤติพลังงานอย่างยั่งยืน และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการช็อปปิ้งอย่างแท้จริง โดยช่วยเหลือ ผู้ประกอบการศูนย์การค้าในด้านของภาษี และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ในส่วนของสมาคมเองนั้น ก็จะยังคงดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยเฉพาะในด้านพลังงาน และช่วยเหลือสังคมในด้านอื่นๆอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา : naewna.com
ทั้งนี้ตนในฐานะนายกสมาคม จึงต้องการยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการศูนย์การค้าไทย เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการช็อปปิ้งของภูมิภาคอาเซียน (Regional Shopping Hub) รับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
ในโอกาสที่สมาคมครบรอบ 15 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2541 จากความร่วมมือของผู้ประกอบการศูนย์การค้าไทยหลายราย โดยในปี 2556 นี้สมาคมฯเตรียมจะจัดงาน “The 1stThailand Shopping Center Symposium” ขึ้น เพื่อขยายองค์ความรู้ธุรกิจศูนย์การค้า และเชิญชวนผู้ประกอบการรายอื่นๆ มาร่วมเป็นสมาชิกเพิ่มเติม และกำหนดทิศทางธุรกิจในปี 2557
โดยในงานดังกล่าวจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องเทคโนโลยี กฎหมายข้อบังคับ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตลาดในประเทศไทย และดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้น สร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมสนองต่อการเปิดตลาดใน AEC ด้วย ซึ่งจะมีการแบ่งประเภทของศูนย์การค้าอย่างชัดเจน เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ทำให้การพัฒนาและบริหารงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นายนริศกล่าวว่า จากฐานข้อมูลสมาชิกของสมาคม พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์การค้าที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้วจำนวนทั้งสิ้น (นับเฉพาะข้อมูลของสมาชิกสมาคมเท่านั้น) 74 แห่ง คิดเป็น 1 แห่งต่อประชากร 9 แสนคน ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วน 1 แห่งต่อประชากร 43,000 คน (ข้อมูลปี 2554)จะเห็นได้ว่าตลาดในประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม สมาคมได้ขอให้ภาครัฐช่วยสนับสนุนในเรื่องโครงการพลังงานแก่ผู้ประกอบการศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันวิกฤติพลังงานอย่างยั่งยืน และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของการช็อปปิ้งอย่างแท้จริง โดยช่วยเหลือ ผู้ประกอบการศูนย์การค้าในด้านของภาษี และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ในส่วนของสมาคมเองนั้น ก็จะยังคงดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) โดยเฉพาะในด้านพลังงาน และช่วยเหลือสังคมในด้านอื่นๆอย่างต่อเนื่องต่อไป
ที่มา : naewna.com