Odoo / OpenERP Thailand.ORG

cools

[b] • แนวโน้มของ ERP ยุคหน้า[/b]
ยุคหน้า E-Business จะเติบโตเต็มที่ ได้รับการพัฒนายิ่งขึ้นจาก Extended ERP จะรองรับสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
- งานหน้าร้าน (Front Office) สิ่งที่จะเชื่อมโยงระหว่างองค์กรไม่ใช่แค่การบริหารซัพพลายเชนของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น แต่จะต้องครอบคลุมถึงการวางแผน การออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อีกด้วย
- ห่วงโซ่ของมูลค่าที่ไม่หยุดนิ่ง ซึ่งในปัจจุบันมีลักษณะปิด ในอนาคตธุรกิจจะเป็นแบบเปิดมีเทคโนโลยีการการบูรณาการระบบข้ามองค์กรที่เรียกว่า Dynamic B2B มากขึ้น
- กลยุทธ์เชิงรุก ปัจจุบันความสามารถในการแข่งขันได้เปลี่ยนจาก กลยุทธ์เพื่อตอบสนองรับมือกับการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจ มาเป็น กลยุทธ์การที่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงล่วงหน้า ERP ยุคหน้าต้องวางแผน ปฎิบัติ และประเมินผลได้ทันที


ที่มา : thailandindustry.com

[b]แนวโน้มของ ERP ยุคหน้า[/b]
[b] • กระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศ[/b]
โครงของกระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศองค์กร แนวนอนคือแกนเวลา โดยแบ่งคร่าว ๆ เป็นยุคของ E-Business และยุคก่อนหน้านั้น โดยในยุคก่อนหน้ายุค E-Business จะแบ่งเป็นสองช่วงคือ ช่วง non-ERP และช่วง ERP

หัวข้อใหญ่ที่บ่งบอกลักษณะเด่นของกระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยจะกล่าวในรายละเอียดตามลำดับดังนี้

[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-7.jpg[/img]

1.ขอบเขตการบูรณาการ ก่อนยุค ERP ระบบสารสนเทศถูกสร้างโดยแบ่งแยกกันในแต่ละงาน และเชื่อมโยงด้วยวิธีแลกไฟล์ข้อมูลเป็นครั้งคราว จึงเกิดความล่าช้าในการประสานบูรณาการข้อมูลตามแนวนอน ส่งผลให้การนำข้อมูลภายในองค์กรมาใช้ล่าช้า
2.งานเป้าหมาย การทำให้เป็นระบบงาน จะเริ่มจาก Back Office ซึ่งงานประจำที่มีรูปแบบตายตัวสามารถเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติก่อน แล้วจึงขยายไปสู่ Front Office ซึ่งเป็นงานเฉพาะทางไม่มีรูปแบบตายตัว
3.วัตถุประสงค์หลัก วัตถุประสงค์หลักของช่วง non ERP คือ การประหยัดและลดต้นทุนทุกงานในองค์กร ส่วนช่วง ERP วัตถุประสงค์หลัก คือ ปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจ โดยบูรณาการกระบวนการต่างๆ เข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับกลยุทธ์ขององค์กร สำหรับ Extended ERP มีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจและปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจไปพร้อมๆ กัน กลายเป็นส่วนที่ไม่สามารถแยกจากกลยุทธ์ขององค์กรได้
4.โครงสร้างพื้นฐาน IT และเวลาที่ใช้ในการพัฒนาระบบ เปลี่ยนจากระบบเมนเฟรม (Mainframe) มาเป็นระบบ Client & Server และกลายมาเป็นระบบ IP Based หรือ Web Application ในยุคของ Extended ERP เวลาในการพัฒนาระบบก็ลดลงจากหลักปี ลงมาเป็นเดือน และต่อไปจะกลายเป็นสัปดาห์

[b]ผลทางการบริหารของการใช้ Extended ERP[/b]
สามารถแบ่งได้ 2 ประเด็นใหญ่ คือ 1. การปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจขององค์กร 2. การปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจ ดังแสดงในรายละเอียดด้วยรูปข้างล่างนี้

[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-5.jpg[/img]

ซึ่งผลทางการบริหารของการใช้ Extended ERP ดังแสดงในรูปข้างบนจะทำให้เกิดการปฏิรูปองค์กรดังแสดงในรูปข้างล่างนี้

[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-6.jpg[/img]

เราจะเห็นว่า แกนตั้ง คือ การปฏิรูปโครงสร้างธุรกิจให้ดีที่สุด และ แกนนอน คือ การบริหารธุรกิจองค์กรให้ดีที่สุด ทั้งสองแกนนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การปฏิรูปองค์กร การใช้งาน ERP ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจภายใต้โครงสร้างของธุรกิจที่ทำในปัจจุบัน แต่ Extended ERP ทำให้สามารถพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจและปฏิรูปกระบวนการทางธุรกิจไปได้พร้อมๆ กัน

[b]• จุดเด่นของ Extended ERP[/b]
Extended ERP เป็นระบบสารสนเทศขององค์กรที่มีจุดเด่น 3 ประการ ดังแสดงในรูข้างล่างนี้ กล่าวคือ

[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-4.jpg[/img]

[b]1. บูรณาการโดยมี ERP เป็นฐาน[/b] - ใช้รากฐานของ ERP และขยายฟังก์ชั่นการทำงาน ERP ออกไป โดยการบูรณากรกับซอฟต์แวร์ต่างๆ เช่น SCM, CRM, E-Commerce ในการป้อนข้อมูลเพียงครั้งเดียว ข้อมูลจะถูกใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ทั้งหมดได้
[b]2. เชื่อมโยงห่วงโซ่ของมูลค่าทั้งภายในและภายนอก[/b] - บูรณาการกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรอยู่ที่แกนกลาง เชื่อมต่อระหว่างองค์กรกับผู้ป้อนวัตถุดิบด้วย SCM และบริหารลูกค้าโดย CRM ทำให้เกิดการเชื่อมต่อของกระบวนการทางธุรกิจภายในกับภายนอก ทำให้เกิดการเชื่อมโยงห่วงโซ่มูลค่าทั้งภายในและภายนอก
[b]3. IP Based Infrastructure และ Web Application[/b] - ระบบถูกสร้างบนฐานโครงสร้างเครือข่ายแบบ IP เรียกใช้หรือป้อนข้อมูลผ่านเครือข่ายได้ และใช้ Web Application ช่วยให้องค์กรเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจากภายนอกได้ ทำให้ทำธุรกิจต่างๆ แบบ E-Business ได้ และการตลาดบนอินเตอร์เน็ตจะมิได้เป็นเพียงการค้าขายบนเน็ตเท่านั้นออแต่ต้องมองว่าเป็นช่องทางในการร่วมืออย่างใกล้ชิด

[b]กระแส ERP ใหม่ของประเทศอเมริกา (Extended ERP)
•กำเนิดของ Extended ERP[/b]
ทศวรรษที่ 1990 บริษัทในอเมริกาได้นำ ERP มาใช้อย่างแพร่หลาย หลังจากนั้นได้ถูกบดบังโดยกระแสใหม่ที่เรียกว่า E-Business ปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่ของอเมริกามีแนวโน้มการลงทุน E-Business มากกว่าการนำ ERP มาใช้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกให้ความสำคัญกับ ERP เพราะระบบ E-Business ที่กำลังนำมาใช้ส่วนใหญ่มี Backbone ที่สร้างขึ้นมาจากระบบ ERP นั่นเอง ในการเปลี่ยนองค์กรให้เป็น E-Business ต้องพัฒนาเครือข่ายระหว่างองค์กรกับคู่ค้าและลูกค้าควบคู่กับการปรับธุรกรรมภายในองค์กรให้เป็นระบบดิจิตอล ต้องสร้างฐานข้อมูลสารสนเทศอันเป็นหนึ่งเดียวขององค์กรทั้งหมด โดยการบูรณาการรวมระบบบริหารสมัยใหม่ทั้งหลาย เช่น SCM, CRM, E-Commerce โดยมี ERP เป็นศูนย์กลาง ดังนั้นปัจจุบันการมุ่งสู่ E-Business จึงเกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า Extended ERP ซึ่งก็คือ การบูรณาการรวมระบบงานต่าง ๆ ขององค์กรโดยมีระบบ ERP เป็นฐาน เพื่อให้มีความสามารถต่าง ๆ ต่อยอดขึ้นไปจากระบบ ERP เดิม

[b] •ความเป็นมาของกำเนิดของ Extended ERP[/b]
ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดเป็นแนวคิดของ Extended ERP แสดงได้ดังรูปข้างล่างนี้

[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-3.jpg[/img]
[b]1. การมาถึงของยุค E-Business[/b] - กลยุทธ์ด้านสารสนเทศที่ผ่านมานั้น ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยทบทวนและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจให้ไม่ซับซ้อนและเป็นระบบ โดยใช้ฐานข้อมูล ERP ทำให้รู้ถึงสถานภาพของธุรกิจแบบเรียลไทม์ หลังจากกำเนินของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต ทำให้กลยุทธ์ด้านสารสนเทศเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร การเกิดร้านค้าออนไลน์สามารถซื้อขายสินค้าได้บน Web การใช้ Web บูรณาการระบบ Back Office ล้วนเป็นการเข้าสู่ยุค E-Business ซึ่งใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อเสริมอำนาจในการแข่งขันและเพิ่มกำไร ตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเพื่อส่งมอบสินค้าที่ลูกค้าต้องการได้รวดเร็วขึ้น
[b]2.ผู้ผลิต ERP ต้องบุกเบิกสร้างตลาดใหม่[/b] - ในอเมริกาผู้ใช้ ERP กว่าครึ่งเป็นบริษัทใหญ่ันดับต้นๆ ในทำเนียบ 1,000 บริษัทของนิตยสารฟอร์จูน ส่วนบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กก็มีงบด้า IT จำกัด ไม่สามารถจัดหา ERP ไปใช้ได้ ทำให้ยอดขายของผู้ผลิต ERP ลดลง ด้วยเหตุนี้จึงถึงจุดจบของยุคทองที่เมื่อจำหน่าย ERP Package ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักได้ ยอดขายและกำไรก็จะเพิ่มขึ้น
[b]3.ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทำให้การรวม ERP กับระบบอื่นเกิดขึ้นได้ [/b] - การบูรณาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบเกิดขึ้นได้ ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าของอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีการเข้าถึงข้อมูลแบบ Web Based ทำให้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับภายนอกง่ายขึ้น หากใช้เทคโนโลยี Thin Client ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล ERP โดยใช้โปรแกรมบราวเซอร์เพียงตัวเดียว หากใช้ร่วมกับระบบติดต่อกับผู้ใช้แบบ GUI จะสามารถใช้ระบบได้ทันที ในการทำ E-Business จะต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง จึงเกิดความเป็นที่จะปรับปรุบระบบ ERP ที่มีอยู่เดิมให้สอดคล้องกัน

[b]• เกาะกระแส E-Business [/b]
สิ่งที่ลืมไม่ได้ของ E-Business คือ ปัจจัยผลักดันมิได้เกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เมื่อปลายทศวรรษที่ 1990 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในด้านการบริหารองค์กร คือ การเปลี่ยนจากระบบ [b]ทำทุกอย่างด้วยตนเอง[/b] ไปเป็นระบบ [b]ไม่ทำทุกอย่างด้วยตนเอง[/b] ในกระบวนการผลิตที่สามารถจ้างทำภายนอกได้ก็จะใช้ทรัพยากรภายนอกให้มากที่สุด การร่วมมือระหว่างองค์กรด้วยการใช้ E-Business เป็นพลังขับเคลื่อนองค์กรให้ออกจากระบบทำทุกอย่างด้วยตนเอง เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรมการผลิตเร็วยิ่งขึ้น

[b]• แนวโน้มของ E-Business [/b]
ที่ผ่านมาองค์กรที่ทำธุรกิจแบบ B2C (ธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค) มีปัญหาบ้าง แต่ E-Business ก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง จากนี้ไป E-Business ไม่ใช่ B2C อีกต่อไป แต่จะเป็น B2B (ธุรกรรมระหว่างองค์กรบริษัท) ระหว่างองค์กรที่มีอยู่เดิม ซึ่ง E-Business มีแนวโน้มที่จะมี 2 ลักษณะ คือ
[b]1. ตลาดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Private B2B (แบบแนวตั้ง)[/b] - เน้นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ขององค์กรในกลุ่มเดียวกัน มีองค์กรที่สำคัญมากที่สุดอยู่ตรงกลาง เชื่อมต่อกับระบบ Supply Chain Management (SCM) เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและใช้ในการบริหารสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะพิเศษเป็นความลับของบริษัท
[b]2. ตลาดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Public B2B (แบบแนวนอน)[/b] - เน้นตลาดอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกลุ่มต่างๆ ไม่มีการสร้างความแตกต่าง เน้นการลดต้นทุน เป้าหมายคือสินค้าประเภททั่วไป

องค์กรมีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมระบบข้อมูล เพื่อตอบสนองการทำงานทั้งสองแบบนี้ ดังรูป

[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-2.jpg[/img]

ศตวรรษที่ 21 นี้ องค์กรบริษัททั้งหลายกำลังเผชิญกับยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปครั้งใหญ่ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างทันท่วงที องค์กรทั้งหลายจึงได้เลิกล้มแนวทางเดิมคือทำทุกอย่างเอง (การบริหารที่มีทุกอย่างเอง) ไปสู่การบริหารที่มีการสร้างเครือข่ายกับบริษัทองค์กรอื่นและเปลี่ยนไปเป็นองค์กรยุคใหม่ โดยทำเองเท่าที่จำเป็น

ด้านเทคโนโลยีอย่างอินเตอร์เน็ต ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นในการติดต่อ ทำให้ E-Business แพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้องค์กรดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้เร็วขึ้นด้วนต้นทุนที่ลดลง ในประเทศญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญกับการใช้ ERP เป็นพื้นฐานของระบบข้อมูลสารสนเทศขององค์กรสำหรับรองรับการบริหารจัดการที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลแบบเรียลไทม์ แต่อัตราส่วนการใช้ ERP ยังค่อนข้างต่ำ เมื่อ E-Business ก้าวหน้ามากขึ้น ระบสารสนเทศขององค์กรและระบบ ERP จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เป็นสิ่งต้องจับตามองและพิจารณาอย่างเร่งด่วน

[b]แนวโน้มของ E-Business[/b]
• [b]แนวคิดของ E-Business[/b] - ERP Research Promotion Forum ได้ให้คำจำกัดความของ ERP และ E-Business ไว้ดังนี้
- ERP เป็นวิธีบริหารจัดการห่วงโซ่ของมูลค่าภายในองค์กรให้มีประสิทธิผลสูงที่สุด
- ระบบ ERP เป็นวิธีการทาง IT ในการทำให้แนวคิดเกิดขึ้นเป็นรูปธรรม
- ระบบ E-Bininess คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจ ใช้อินเตอร์เน็ตในการเชื่อมโยงองค์กร ยกประสิทธิผลการบริหารธุรกิจทุกๆ ขั้นตอนให้สูงขึ้น โดยเปรียบเทียบให้ ERP เป็นกลไกการปฏิรูปห่วงโซ่มูลค่าภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วน E-Business เป็นกลยุทธ์สำหรับการปฏิรูปห่วงโซ่ของมูลค่าทั้งหมดข้ามองค์กร ตั้งแต่คู่ค้าไปถึงลูกค้า

จากด้านล่างนี้ จะเห็นภาพของ E-Business ตามคำจำกัดข้างต้น สำหรับระบบสารสนเทศนั้นจำเป็นต้องใช้ระบบที่สามารถทำการประมวลผลแบบเรียลไทม์ มีการเชื่อมต่อกับทุกองค์กรในห่วงโซ่ของมูลค่า (ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ขายปลีก)
[img]http://www.thailandindustry.com/UserFiles/mana161_1-1.jpg[/img]